เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๖ เม.ย. ๒๕๖๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

เอาเนาะ ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรมนะ วันนี้วันจักรี วันจักรี วันสถาปนาประเทศ ราชวงศ์จักรีไง เป็นที่อยู่ที่อาศัยของเรา ถ้าเป็นที่อยู่ที่อาศัยของเรา ความมั่นคง ชาติไหนก็แล้วแต่ถ้ามีความสงบ ตอนนี้มันเป็นความเสี่ยงในทางประกอบธุรกิจเลยแหละ ถ้าการเมืองมันนิ่ง การเมืองนิ่ง เศรษฐกิจมันจะดี เศรษฐกิจมันดี เพราะอะไร เพราะมันสุขสงบไง

 

วันนี้วันจักรี ถ้าวันจักรีมันเป็นวันสมมุติ แต่วันจักรีมันผ่านมาแล้วเกือบ ๓๐๐ ปี ถ้ามันเป็นสมมุติ สมมุติที่ไหน สมมุติให้คนสำนึกได้ ถ้าคนสำนึกได้ คนนั้นเป็นคนดี คนดี คนกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดีใช่ไหม คนดี คนดีจะต้องมีสามัญสำนึก ต้องรู้จักว่าคุณงามความดี ถ้าคนดีแล้วต้องรู้จักผิดชอบชั่วดี

 

ถ้าคำว่า “ผิดชอบชั่วดี” สิ่งนั้นเป็นเครื่องหมายของคนดี ถ้าคนดีแล้ว พื้นฐานที่มันดี ถ้ามันมีความรู้สึกนึกคิด ความคิดเกิดจากจิตๆ แต่ถ้ามันมีจิตไง จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เพราะเรามีอำนาจวาสนา เราถึงมาเกิดเป็นคน ถ้ามันเกิดเป็นคน สามัญสำนึกพื้นฐานที่ดี เวลามันคิดสิ่งใดมันคิดแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์กับตนเองไง

 

แต่ถ้ามันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันไม่เห็นคุณค่าใดทั้งสิ้น มันเห็นตัวมันยิ่งใหญ่ มันจะครองโลก มันจะฉ้อโกง มันทำลายเขาเลย มันมาจากไหน นี่ไง กิเลสตัณหาความทะยานอยากก็มาจากความรู้สึกนึกคิดเรานี่แหละ แต่ถ้าความรู้สึกนึกคิด ทำไมเราต้องมานึกถึงชาติ ทำไมเราต้องมานึกถึงความมั่นคง ทำไมเราต้องระลึกถึงสังคม เฮ้ย! สังคมก็ทำไปสิ ก็ตัวเรา เราก็มีความสามารถ ก็แข่งขันไง นี่ไง ระบบธุรกิจไง ทุนนิยมๆ ไง

 

ทุนนิยมเป็นทุนนิยม มันเป็นระบบไง มันเป็นระบบความเป็นอยู่ของโลก แต่เวลาคนเรา สิ่งที่เป็นสมบัติของมนุษย์ก็มีบุญและบาปเท่านั้น มีบุญและบาป คุณงามความดีมันเป็นบุญกุศลของตน ถ้าเป็นบุญกุศลของตน บุญกุศลของตนมันจะเข้าสู่มโนกรรมๆ ไง ความย้ำคิดย้ำทำจนเป็นจริตนิสัยของเธอไง

 

ความย้ำคิดย้ำทำนั้นมันจะเป็นจริตนิสัย ความที่จริตนิสัยที่เป็นคนดีไง ถ้าดีเอ็นเอมันดี สิ่งใดที่มันออกไปมันก็จะดีออกไปจากความคิดของตนไง ถ้าคนที่ดีจากความคิดของตนนะ นี่พูดถึงคนดีเฉยๆ นะ

 

แต่คนที่มีคุณธรรม อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกถ้ามันไม่เป็นประโยชน์ ถึงมันเป็นความจริง เราก็ไม่พยากรณ์

 

คือว่ามันเป็นความจริงด้วย แต่มันไม่เป็นประโยชน์กับใคร ท่านไม่พูด แต่ท่านจะพูดไปแล้วมันจะเป็นประโยชน์กับใครหรือไม่เป็นประโยชน์กับใครไง คำพูดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมีคนอ้างอิงไปเหยียบย่ำไปทำลายกัน นี่คำพูด

 

อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า เพราะว่าพระอริยเจ้ารู้ถึงว่านี่มันคิดแล้ว มันจะพูดแล้ว ถ้าพูดแล้วมันจะเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ กว่าที่ท่านจะพูดออกไป ท่านได้ไตร่ตรองของท่านแล้ว นั่นไง แล้วถ้ามันไม่เป็นประโยชน์ ท่านจะนิ่งของท่านอยู่ ไอ้เราก็ว่า “โอ๋ย! โง่ๆ วันๆ นั่งซื่อบื้อ ไม่มีความรู้อะไรเลย”

 

อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า นั่นน่ะท่านรู้ว่ามันไม่เป็นประโยชน์กับใคร มันไม่เป็นประโยชน์กับใคร มันเป็นประโยชน์ในหัวใจ ถ้ามันเป็นประโยชน์ในหัวใจนั้น หัวใจนั้นดูแลรักษาหัวใจนั้น นี่ไง ถ้ามันมั่นคง

 

เราบอกว่าวันนี้วันจักรีเป็นวันสถาปนา วันชาติของเราเลยล่ะ มันกำเนิดชาติขึ้นมา แล้วมันเกิดมาแล้ว ๒๐๐-๓๐๐ ปี อู๋ย! ทำไมยังเอามาคิดใคร่ครวญกันอยู่ ของมันเก่ามันแก่ไง

 

นั่นน่ะ คนมันจะเหลวไหลแล้วแหละ คนมันจะดีมันต้องดีที่สามัญสำนึกของคน คนถ้ามีความสำนึก มันสำนึกสิ่งใดมันก็ไม่ผิดพลาดใช่ไหม

 

เราอยู่กับครูบาอาจารย์มานะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอน สัตว์ในวัดๆ อย่าไปคุ้นชินกับมัน อย่าไปคุ้นชินกับมันนะ สัตว์เอามาเลี้ยง ท่านพยายามจะให้มันมีระยะห่างระหว่างมนุษย์กับสัตว์ มนุษย์กับสัตว์นะ แล้วเวลาเขาเลี้ยง สัตว์ป่าเขาเอามาเลี้ยงให้มันเชื่องๆ มันเลี้ยงสัตว์ป่า

 

สัตว์ป่ามันเชื่องมันเชื่องกับใคร มันเชื่องกับคนเลี้ยงนั้น ถ้าเชื่องกับคนเลี้ยงนั้น ได้ไปคุ้นเคยกับมัน ไอ้สัตว์มันก็คุ้นเคยของมันใช่ไหม พอไปเจอคนมันก็วิ่งเข้าไปหาคนนะ มันก็โดนเขายิงตายเลย เพราะอะไร เพราะว่าสัตว์มันคิดว่านั่นน่ะมนุษย์ที่มันคุ้นเคย มนุษย์ที่มันคุ้นเคย

 

แต่ถ้ามนุษย์ที่ฉลาด ให้มีระยะห่างไว้ เราเลี้ยงมัน เราดูแลมันนะ แต่เลี้ยงมันเฉพาะเรานะ เรามีความเมตตานะ เราเลี้ยงสัตว์ เราดูแลมัน มันก็คุ้นเคยกับเรา มันเห็นบุญคุณเรา มันก็เชื่อง มันก็ไว้ใจเราไง แต่มนุษย์ เขาบอกว่าสัตว์หน้าขน สัตว์หน้าขนไว้ใจไม่ได้

 

มนุษย์หน้าขนก็ไว้ใจไม่ได้ ไอ้มนุษย์ก็ไว้ใจไม่ได้ ไอ้มนุษย์คือสัตว์ คือยักษ์ มันกินหมด นี่ไง ถ้าสิ่งที่ต้องเว้นระยะห่าง ต้องฝึกมัน ต้องกันมัน นี่สภาวะแวดล้อม สภาวะแวดล้อมเพราะว่าสัตว์มันได้รับการคุ้มครอง ได้รับการดูแล มันได้รับอาหาร ได้การเลี้ยงดูที่ดี มันก็ไว้ใจมนุษย์ๆ แล้วมันเห็นมนุษย์ขึ้นมามันก็จะเข้าไปสู่มนุษย์ แล้วมนุษย์คนอื่นไว้ใจได้ไหม มนุษย์คนอื่นอย่างน้อยก็กักขัง อย่างมากก็ฆ่ามันเอาเป็นอาหารไง นี่ไง สิ่งที่สภาวะแวดล้อมๆ แล้วเราเกิดที่ไหนล่ะ

 

ถ้าจิตใจมันเป็นคนดีๆ มันมีพื้นฐานที่ดี เราทำความดีแล้วเราป้องกันไว้เลยนะ อย่าให้สัตว์มันไว้เนื้อเชื่อใจจนเกินไป อย่าให้สัตว์มันไว้ใจเราแล้วมันไปใช้วิธีอย่างนี้กับคนอื่น ชีวิตมันจะเป็นอันตราย

 

มันมีอยู่นะ พระเคยธุดงค์ไปในวัด วัดนั้นอยู่ที่แก่งกระจาน เขาเคยธุดงค์มา เขาเคยไปเจอช้าง เคยคุ้นเคยกัน พอคุ้นเคยกันนะ เวลาเขาฉันอาหารแล้วเหลือก้นบาตร เขาจะเอาไปให้ช้างกินๆ ช้างนั้นกับพระองค์นั้นจะคุ้นเคยกัน

 

แล้วก็ธุดงค์ต่อเนื่องไปหลายปี พอเขากลับมา พอเขากลับมานะ เขาก็มาล้างบาตรที่นั่น เขาไปเจอช้างเดิมนั่นแหละ เขารู้จัก เขาคุ้นเคยอยู่ เขาก็เอาอาหารไปให้ช้างนั้น ช้างนั้นเอางวงรัด จับขาเขาฟาดตายเลย

 

เพราะช้างนั้น เวลาผ่านไปแล้วช้างนั้นเขาก็ไปตกลูก พอตกลูก นายพรานไปยิงลูกมัน พอไปยิงลูกมัน มนุษย์ไปยิงลูกมัน มันฝังใจๆ นะ แต่พระนั้นคุ้นเคยกับช้างนั้น พระนั้นเคยให้อาหารกับช้างนั้น พระก็คิดว่าความคุ้นเคยของบุคคลมันจะไว้ใจเราไง

 

ใช่ มันไว้ใจมนุษย์ ก็มันไว้ใจมนุษย์ไง พระเคยให้อาหารมันไง เคยดูแลมันไง แต่ชีวิตสัตว์ป่ามันก็อยู่ในป่าใช่ไหม ถึงเวลาสัตว์ป่า พรานป่าเขาไปล่าสัตว์ๆ เขาไปยิงลูกมัน ไปยิงฝูงมัน มันฝังใจ มันฝังใจนะ พระนั้นไม่รู้ เพราะพระนั้นธุดงค์ไปแล้วกลับมา กลับมาก็ช้างตัวเดิมที่เราเคยคุ้นเคยกับมัน เราเคยคุ้นเคยกับมันไง สุดท้ายเอาอาหารไปให้มันนะ มันเอางวงจับขาฟาดเสียชีวิตเลย นี่ไง ความคุ้นเคย

 

ความคิดเกิดจากจิตๆ แต่การกระทำออกไป สังคมมันไว้ใจใครได้ไหม รู้หน้าไม่รู้ใจ รู้หน้าไม่รู้ใจไง ถ้ารู้หน้าไม่รู้ใจ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนไง ถ้าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เราต้องฝึกหัดของเรา ฝึกหัดของเราๆ รักษาหัวใจของเรา ดูแลหัวใจของเราไง

 

ถ้ามันเป็นปกติของใจของเรา ถ้าใครเห็นใจของตน ทำความสงบของใจ ใจมันสงบระงับเข้ามาได้ เวลามันพิจารณาของมัน มันเห็นอาการของจิต เห็นอาการของจิตนะ มันเห็นอาการของจิต มันเห็นกิเลส เห็นตัณหาความทะยานอยาก โอ๋ย! ทำไมมันวุ่นวายขนาดนี้ ทำไมมันดิ้นรนขนาดนี้ ทำไมมันพลิกแพลงขนาดนี้ ไปเห็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเราน่ะ เห็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเรา อู๋ย! มันมีมหาศาลขนาดนี้เชียวหรือ มันทำของมันอย่างนั้นนะ แล้วถ้ากิเลสในใจของเรามันขนาดนี้ แล้วกิเลสในใจของคนอื่นล่ะ ถ้ากิเลสในใจของคนอื่น เราไว้ใจใครได้ไหม ถ้าเราไว้ใจใครไม่ได้ ปัญหาสังคมๆ

 

กาลเวลาไง จากกัน ๓ วัน ใจเป็นอื่น เป็นอื่นหมด กาลเวลามันกัดกินไปหมดนะ แต่ความจริงกาลเวลาเหมือนยักษ์ มืดกับสว่าง ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด มันต้องตายไปข้างหน้า วันเวลามันกลืนกินไปหมดแหละ

 

แต่นี่วันเวลามันก็เปลี่ยนแปลงไปทั้งนั้น ถ้ามันเปลี่ยนแปลงไปทั้งนั้น เราเห็นผลของวัฏฏะๆ ไง ถ้าผลของวัฏฏะ ใครจะไปเพ่งโทษใคร ใครจะไปจับผิดใคร ถ้ามันจะเป็นความจริงๆ คนที่มีสติปัญญา วันนี้วันมั่นคงของชาติ วันจักรี เรามาทำบุญกุศลของเรา ถ้าทำบุญกุศลของเรา ขอให้เรามีหลักมีเกณฑ์ในหัวใจของเรา ถ้าขอให้เรามีหลักมีเกณฑ์ในหัวใจของเรา เราจะฝึกหัด

 

สิ่งใดก็แล้วแต่ สิ่งที่เป็นวัตถุพึ่งพาอาศัยไม่ได้ทั้งนั้นเลย สิ่งที่เป็นนามธรรม สิ่งที่มันไม่มีตัวตนนั่นแหละ แต่ความคิดมันมหาศาลยิ่งใหญ่นัก

 

เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ถ้าพูดถึงอกุปปธรรมๆ ถ้ามีคุณธรรมในหัวใจ ถ้ามีคุณธรรมในหัวใจ ความเป็นจริงที่ยิ่งใหญ่ในใจนั้นมันยิ่งใหญ่ขนาดไหน แต่กว่าที่มันจะยิ่งใหญ่ มันจะเห็นสิ่งนั้นได้ มันมีแต่ความมืดบอด มันมีแต่ความมัวหมองในหัวใจทั้งนั้นน่ะ กว่าจะทำหัวใจให้มันยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ เราลงทุนลงแรงขนาดไหน

 

คนที่ลงทุนลงแรง เวลาทำงานทางโลก เราทำงานทางโลกเราว่าเราทุกข์เรายากขนาดนั้นน่ะ เวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนามันเป็นอากาศธาตุ วิมานบนสวรรค์ๆ วิมานมันอยู่ไหน สติ สมาธิ ปัญญามันอยู่ไหน เวลามันสร้างสมขึ้นมาจนมันเป็นจริงขึ้นมาในหัวใจ ถ้ามีสติสมบูรณ์ขึ้นมา โอ้โฮ!

 

คนภาวนานะ จะภูมิใจมาก ถ้าสติเราสมบูรณ์นะ เราจะมั่นคงของเรา เราจะอยู่ในทางเดินจงกรมของเรา เราจะนั่งสมาธิของเราด้วยความชื่นบาน แต่ถ้าสติเราอ่อนแอ พอสติอ่อนแอ เราอยู่ในทางจงกรมของเราด้วยความทุกข์ความยาก เรานั่งสมาธิของเราด้วยความอึดอัดขัดข้อง เราจะเป็นจะตายเลยล่ะเพราะสติมันอ่อน พอสติมันอ่อน ความคิด กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันจะบวกเข้ามา มันจะเข้ามาปั่นป่วนในหัวใจไง

 

แต่ถ้าสติปัญญามันสมบูรณ์ สติสมบูรณ์ๆ พุทโธก็พุทโธชัดๆ ไง ถ้าพุทโธชัดๆ หัวใจเรา เราอยู่กับพุทธานุสติไง กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันจะเจาะช่องเข้ามาไม่ได้ มันจะตอกลิ่มเข้ามาไม่ได้ในหัวใจของเราเลย ถ้าสติปัญญามันสมบูรณ์ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนามันมีความสุข มันมีความพอใจ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี จิตของเราไม่วอกแวกวอแวไปคิดแต่เรื่องอื่น มาอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์นะ

 

แต่ถ้าสติมันอ่อนนะ มันพุทโธ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้ามันมีสติจนสติหายไปมันพุทโธแต่ปากไง พุทโธแต่ปากก็เหมือนเด็กๆ มันท่องบ่น นกแก้ว นกขุนทอง แต่ใจมันคิดเรื่องอื่น ใจมันไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพุทธานุสติไง

 

นี่ไง เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนานี่แหละ ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมา เดินจงกรมด้วยความสุข ด้วยความสงบความระงับนี่แหละ แต่ถ้าขาดสติ สติมันเดินจงกรมด้วยความทุกข์ความยากนี่แหละ แล้วถ้าสติมันอ่อนแอนะ เลิกดีกว่า อู้ฮู! เสียเวลาไปตั้งนาน ไปทำงานอย่างอื่นดีกว่า

 

เสียเวลาไปตั้งนานก็ยังได้เห็นร่องเห็นรอยของพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาถึงสัจจะความจริงขึ้นมาแล้ว พระพุทธศาสนาสอน สอนจริงๆ สอนเรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา ถ้าเรามีศีลจริงๆ เราก็หักห้ามตัวเอง หักห้ามความคิดของเราได้ ถ้าเรามีศีล ศีลคือความปกติของใจไง

 

เราขอศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ เราขอๆ เราขอนี่เป็นข้อปฏิบัติเหมือนกฎหมาย กฎหมาย ใครทำตามกฎหมายนั้นก็เป็นคนดีขึ้นมา กฎหมายก็เป็นกฎหมายวันยังค่ำนั่นน่ะ ถ้าไม่ทำผิดก็ไม่ผิดกฎหมาย

 

นี่ก็เหมือนกัน ศีลก็เป็นศีลวันยังค่ำนั่นแหละ ศีลที่ขอนั่นแหละมันเป็นกฎหมาย มันเป็นข้อห้าม แต่เราทำหรือเปล่าล่ะ เออ! เราทำหรือเปล่า ศีลมันมีหรือยัง นี่ไง หลวงตาท่านบอกขอศีล ขอศีลได้ศูนย์ไง มันขอศีลไปแล้วได้ศูนย์เพราะขอศีลแล้วกลับไปนั่งที่บ้าน นั่งจ๋องเลย ทำอะไรไม่ได้ เดี๋ยวผิดศีล เออ! เดี๋ยวผิด ไม่กล้าทำอะไรเลย กลัวไม่มีศีล

 

ศีลคือความปกติของใจ เราทำได้ทุกๆ อย่าง เราทำอะไรก็ได้ เจตนาของเราถ้ามีสติมันไม่ทำหรอก มันงดเว้นทันทีเลย สิ่งใดที่มันจะล่วงละเมิดมันงดเว้นๆๆ เลย การงดเว้นนั่นแหละคือรั้วกั้นของมันขึ้นมา รั้วกั้นให้ใจเรามีขอบมีเขตขึ้นมาใช่ไหม ถ้ามันเป็นจริงๆ เป็นจริงอย่างนี้ไง ถ้ามันเป็นจริง ถ้าความเป็นปกติของใจ ถ้ามันมีศีล แล้วถ้ามันมีธรรมๆ ขึ้นมา มีศีลต้องมีธรรมไง

 

มีศีลๆ บอกมีศีลทุกคนมีศีล มีศีลคือขอนไม้ไง ขอนไม้มันไม่เคยทำร้ายใครเลย มีศีลก็ต้องมีธรรม ไม่ฆ่าสัตว์ก็ต้องมีเมตตาเขา ไม่ฆ่าสัตว์ มันจะเป็นจะตาย มันดิ้นต่อหน้าเรา ไม่เจือจานมันเลย ถ้ามันจะดิ้น มันจะเป็นจะตายต่อหน้า เราก็เจือจานมันได้ ถ้าเราเจือจานมันได้ที่ไม่เป็นโทษนะ ถ้ามันถึงที่สุด เราให้โอกาสเขา นี่ไง ถ้ามันมีธรรมๆ ขึ้นมา มันพัฒนาขึ้นมา แล้วมันจะย้อนกลับมาภายใน ถ้ามันย้อนกลับมา เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ถ้ามันเป็นจริง เป็นจริงขึ้นมาอย่างนี้ ถ้าเป็นจริงขึ้นมาอย่างนี้มันจะเป็นประโยชน์กับเรา ประโยชน์กับเราไง แล้วถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

 

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ใครทำความจริงมากน้อยแค่ไหนก็ได้ขนาดนั้น เราก็ยังมีหลักมีเกณฑ์ของเรานะ คำว่า “มีหลักมีเกณฑ์” เราเป็นชาวพุทธ เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นแก้วสารพัดนึก ลัทธิศาสนาอื่นเขาก็ต้องทำของเขา แต่ลัทธิศาสนาของเรา ความเป็นจริงของเรา เราทำให้มันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา มันขวนขวายขึ้นมา มันเป็นจริตเป็นนิสัย

 

เวลาพ่อแม่เลี้ยงลูกนะ อยากให้ลูกฉลาด ลูกทันคน ลูกมีปัญญา ถ้าเรามีศีลมีธรรมในหัวใจ นั่นล่ะคือฉลาดกับอารมณ์ของเรา ฉลาดกับความคิดของเรา ฉลาดกว่ากิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วก็สร้างคุณงามความดีของเราไป

 

แล้วพอสร้างคุณงามความดี กระแสสังคม ใครทำความดีมันก็เจาะยาง มันทั้งชี้หน้านินทากาเล นั่นเรื่องของเขา เวลาหลวงตาท่านสอนไง เราจะทำคุณงามความดีว่ะ ใครจะติฉินนินทามันเรื่องของเขา เรื่องของเขา ใครจะเจาะยาง ใครจะทำอะไรมันเรื่องของเขา

 

เพราะโลกมันเป็นอย่างนี้ ใครทำความดีเกินหน้าเขา เขาไม่ยอมรับหรอก เขาต้องเจาะยางไปเรื่อยๆ เจาะยางจนเจาะไม่เข้า เจาะยางจนกว่ามันจะเห็นประโยชน์ แล้วมันจะเปลี่ยนแปลงนิสัยของมันถ้ามันเปลี่ยนได้ ถ้ามันเปลี่ยนไม่ได้มันก็เป็นเรื่องของโลกไง เพราะเราเกิดมากับโลก เราอยู่กับโลก เราปฏิเสธพระอาทิตย์ไม่ได้ เราปฏิเสธดวงดาวไม่ได้ นักดาราศาสตร์เขาเห็นคุณค่าของมันมหาศาลเลยนะ ชาวไร่ชาวนาเขาก็ดูข้างขึ้นข้างแรมเพื่อผลประโยชน์กับเขา เราปฏิเสธสิ่งใดไม่ได้ทั้งสิ้น แต่เราจะใช้ประโยชน์อะไรกับมันล่ะ เราจะทำประโยชน์อะไรล่ะ ถ้าเราทำประโยชน์มันจะเป็นประโยชน์กับเรานะ ถ้ามันเป็นประโยชน์กับเรา เรามีคุณค่า

 

ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ถ้าเห็นตถาคตเห็นคุณงามความดีของเรา เห็นประโยชน์กับเรา วันมั่นคง วันจักรีๆ วันจักรีมันเป็นวันหยุดเลยแหละให้เราระลึกถึงคุณของแผ่นดิน เราเกิดมาในแผ่นดินนี้ เราเห็นคุณค่าของแผ่นดินนี้ จะตกระกำลำบากบ้างมันก็เป็นเรื่องของเวรของกรรม ถ้ามันจะมีคุณงามความดีบ้าง เราก็พยายามสร้างสมของเราเพื่อชีวิตนี้ เอวัง